วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ณ สถานบันวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

     
        หลังจากที่ได้เข้าเยี่ยมชม หรือ เข้าทัศนศึกษา ณ สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ผมก็ได้มีความรู้ใหม่ๆมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป้นสัตว์น้ำทะเล พืชในทะเล ตลอดจน วิถีชีวิตของชาวประมง และอื่นๆอีกมากมาย  สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลประกอบไปด้วยสองชั้น ชั้นแรกจะเป็นการจัดการแสดงสัตว์โลกใต้ท้องทะเลต่างๆ มีดังต่อไปนี้
 
          สัตว์ที่อาศัยอยู่ในแนวเขตน้ำขึ้นน้ำลง  สัตว์พวกนี้ก็ได้แก่ กุ้ง ลูกปลาบางชนิด หอยนางรม ปูเสฉวน เม่นทะเล ดอกไม้ทะล ดาวทะเล เป็นต้น

         สัตว์ที่อาศัยอยู่ในแนวปะกาลัง สัตว์พวกนี้ได้แก่ ปลาสลิด ปลาการ์ตูน ปลาเขียวพระอินทร์ ปลาผีเสื้อ และปลาโนรี เป็นต้น

  
 สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังน้ำเค็ม สัตว์พวกนี้ ได้แก่ สัตว์ในไฟลั่มซีเลนเทอ อราต้า  เป็นต้น

          ปลาที่เป็นปลาเศรษฐกิจ  แบ่งออกเป็นสองชนิดคือ ปลาที่นำมาเป็นอาคารและปลาที่นำมาเลี้ยงไว้เพื่อความสวยงาม  ปลาที่นำมาเป็นอาหารได้ เช่น ปลาเก๋า ปลาอีคุด ปลาสีขน ปลาสร้อยนกเขา เป็นต้น ส่วนปลาที่นำมาเลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามและความเพลิดเพลินใจนั้น มีปลาสลิดทะเล ปลานกแก้ว


     ปลาที่มีรูปร่างแปลกและปลาที่มีพิษ ปลาพวกนี้จะมีรูปร่างลักษณะคล้ายสิ่งแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่  และยังเป้นปลาที่ร้ายกาจในทะเลด้วย อาทิเช่น ปลากะเบน ปลาลิ้นหมา ปลาวัว เป้นต้น
สุดท้ายของบริเวณชั้นล่างของสถาบันนี้ เป็นการจัดแสดงของปลาที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทร เช่น ปลาโอ ปลาหมอทะเล ปลาฉลาม ปลาอินทรีย์ เป็นต้น

      ส่วนชั้นที่สองของตัวอาคารนั้น ได้มีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจทางดานการฟื้นฟู การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนด้านวิทยาศาสตร์ทางประมง
      ต่อมา เป็นการจัดแสดงเรื่องราวของอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยมีการให้ความรู้ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเล้กๆที่อาศัยอยู่ในทะเล  นิทรรสการเรื่องวราวของทะเลว่าทะเลมีการกำเนินมาจากไหน อย่างไร และระบบนิเวสชายฝั่งทะเลว่ามันมีความสำคัญมากน้อยเท่าไร ในทุกวันนี้


   ถัดไปจากนั้นเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ เช่น เป็นแหล่งทำมาหากินของชาวประมง เรือต่างๆของชาวทะเลที่ใช้ออกหาปลา เรื่องราวของการขุดค้นและวัตถุโบรารที่ชาวประมงได้พบเจอ เป็นต้น


   สุดท้ายเป็นพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย และวิวัฒนาการของหอยชนิดต่างๆ
การทัศนศึกษา ครั้งนั้นนี้มีแต่ความรู้ใหม่ๆที่มาประดับบนสมองเรา และที่สำคัญได้พบเจอสัตว์น้ำที่เรายังไม่เคยพบเห็นเลย   ...............................

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครุบูชา

         
      ลักษณะนิสัยของคนไทยที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การรู้คุณคน เมื่อรู้ว่าใครมีบุญแก่ตนก็จะแสดงความเคารพ ยกย่อง อ่อนน้อมถ่อมตนด้วย เช่น การทักทายด้วยการยกมือไหว้ พูดจาไพเราะกล่าวคำขอบคุณ ขอโทษในโอกาสที่เหมาะสม และที่สำคัญคือ การรู้จักกตัญญูรู้คุณผู้มีพระคุณ ในการที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาจะแสดงความกตัญญูต่อครู อาจารย์นั้น คือ การตั้งใจเล่าเรียนศึกษาวิชาการ และประพฤติตัวเป็นคนดีตามที่ครูสั่งสอน การจัดพิธีไหว้ครู เป็นการแสดงความเคารพครูอย่างหนึ่ง ซึ่งในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี ตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จะกำหนดจัดพิธีไหว้ครู โดยถือหลักว่าต้องเป็นวันพฤหัสบดี เพราะเชื่อว่าวันนี้เป็นวันครู ส่วนจะเป็นพฤหัสบดีที่เท่าไรของเดือนก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละสถาบันไม่มีข้อจำกัด
     การไหว้ครู คือ การที่ศิษย์แสดงความคารวะ ยอมรับนับถือครูอาจารย์อย่างจริงใจว่า ท่านเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความรู้ ศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการจึงพร้อมใจกันปวารณา ตนรับการ ถ่ายทอดวิชาการความรู้ด้วยความวิริยะอุตสาหะมานะอดทน เพื่อให้บรรลุจุดหมายปลายทาง ของการศึกษาตามที่ตั้งใจไว้
     ครู แปลว่า หนัก ครูย่อมเป็นผู้ที่ผ่านการศึกษาค้นคว้ามาแล้วอย่างหนัก เพื่อสะสม ความรู้เอาไว้ถ่ายทอดให้แก่ ศิษย์ และครูย่อมเป็นผู้ที่ต้องอดทนอย่างหนัก ในการสั่งสอนถ่ายทอดความรู้แกศิษย์
     ครู แปลว่า ตระหนัก ครูเป็นผู้ที่มีปัญญามาก เมื่อจะกระทำสิ่งใด ครูจึงสามารถตระหนัก ได้ว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก ดีหรือเลว ควรหรือไม่ควร เมื่อทำแล้วจะเป็นบุญหรือเป็นบาป เมื่อตระหนัก อย่างนี้แล้ว ครูก็จะเลือกทำแต่ในสิ่งที่เห็นว่าดีว่าถูกว่าควรทำ และเมื่อทำไปแล้วก็ให้แต่ผลบุญเท่านั้น
   หรือในอีกความหมาย ครู คือ ผู้ที่จุดดวงประทีปทางปัญญาให้แก่ศิษย์ เพื่อให้ศิษย์พ้น จากความมืด คือ ความไม่รู้ โดยพยายามอดทนประคับประคอง ส่งเสริมให้ศิษย์เจริญก้าวหน้าใน ทุกวิถีทาง ฉะนั้น ครูที่แท้จริงคือ ผู้ให้ สำหรับศิษย์โดยไม่มีขอบเขตจำกัด ทั้งนี้เพราะหัวใจและ วิญญาณของครูบรรจุสิ่ง ๓ ประการ คือ ปัญญา กรุณา และบริสุทธิ์ ไว้เต็มเปี่ยม
     ปัญญา คือ ความสว่างที่เกิดจากการสะสมความรู้ความสามารถ คุณธรรม ความดีมาตลอดชีวิต ประทีปแห่งปัญญาซึ่งสว่างจ้าอยู่กลางใจของครูนั้น เป็นประทีปดวงโตที่ครูพร้อมจะจุดต่อให้กับผู้ที่มีความต้องการดวงสว่างนั้น
     กรุณา คือ พลังแห่งความดีที่คอยผลักดันให้ครูพร้อมที่จะจุดดวงประทีปทางปัญญา ให้แก่ศิษย์ เพื่อให้ศิษย์จะได้รับแต่ประโยชน์ ความสุข ความเจริญ ความก้าวหน้าอย่างครูหรือมากยิ่งกว่าครู
     บริสุทธิ์ ครูมีเจตนาดีต่อศิษย์ด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่ประสงค์ร้ายแอบแฝงอยู่ดั้งนั้นศิษย์ควรสำนึกในคุณความดีของครูที่มีต่อศิษย์ด้วยการ
     - ให้ความเคารพอ่อนน้อม เพื่อรองรับปัญญาครู บุคคลเมื่อต้องการความรู้จากผู้อื่นก็ต้องแสดงความเคารพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ยกย่องผู้มีความรู้ แล้วก็ฝากตัวเป็นศิษย์

- ความอดทน ขยันหมั่นเพียร เพื่อรองรับความกรุณาจากครู บุคคลใด ขณะที่เรียนรู้หรือขณะที่ทดลองปฏิบัติหากขาดความอดทน ความขยันหมั่นเพียร บุคคลนั้นย่อมหมดโอกาสที่จะได้รับความรู้ทั้งหมดไปจากครู

- ความมีระเบียบวินัย เพื่อรองรับความบริสุทธิ์ใจจากครู บุคคลที่จะสามารถเรียนรู้ และรับการถ่ายทอด ความรู้ทั้งหมดไปจากครูได้จนจบหลักสูตร ต้องเป็นผู้ที่ประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัยหรืออยู่ในข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่ทางสถาบันหรือครูกำหนดไว้


  พานไหว้ครูแบบสวยๆ  

เพลงประกอบ พิธี ครุบูชา
          
         

          

                                                                                         ศิษย์ดี เพราะ  มีครู 

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระธาตุเชิงชุม ศรีสกลทวาปี

พระธาตุเชิงชุม ประดิษฐานอยู่บนเนินสูง ในวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ริมหนองหาร อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
ตามตำนานกล่าวว่า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอานนท์ ได้เสด็จจากพระวิหารเชตวัน มาทางดินแดนทางทิศตะวันออก เพื่อโปรดสัตว์ เมื่อเสด็จตามลำแม่น้ำโขง ก็ได้ประทับรอยพระพุทธบาทมาตามลำดับ มีพระพุทธบาทบัวบก พระพุทธบาทโพนเพล พระพุทธบาทเวินปลา แล้วมาพักฉันภัตตาหารที่ภูกำพร้า อันเป็นที่ตั้งของพระธาตุพนม จากนั้นได้เสด็จไปโปรดพระเจ้าสุวรรณภิงคาระ และได้ประทับพระพุทธบาทที่ภูเขาน้ำลอดเชิงชุม รวมกับพระพุทธบาทของ อดีตพระพุทธเจ้าองค์ก่อนอีก 3 พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าพระนามกกุสันธะ พระพุทธเจ้าพระนามโกนาคมะ และพระพุทธเจ้าพระนามกัสสปะ เมื่อพระเจ้าสุวรรณภิงคาระทรงทราบข่าว จึงได้เสด็จออกต้อนรับ พร้อมทั้งพระนางนารายณ์เจงเวงราชเทวี   พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์ให้พระเจ้าสุวรรณภิงคาระ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น จึงทรงแสดงปาฏิหารย์บันดาลให้มีดวงมณีรัตน์มีรัศมี พวยพุ่งออกจากพระโอษฐ์พร้อมกันสามดวง พระเจ้าสุวรรณภิงคาระทรงเห็นเป็นอัศจรรย์ก็บังเกิดศรัทธา เปล่งวาจาสาธุการด้วยความปิติ พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า  ณ ที่นี้เป็นสถานที่อันอุดมประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ จะได้มาประชุมรอยพระพุทธบาทไว้ เพื่อเป็นที่สักการะแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย   พระเจ้าสุวรรณภิงคาระ บังเกิดความปิติโสมนัส จึงได้ถอดมงกุฎทองคำของพระองค์ สวมลงบูชารอยพระพุทธบาท แล้วทรงสร้างเจดีย์ครอบไว้ จึงได้ชื่อว่าพระธาตุเชิงชุมแต่นั้นมา   เนื่องจากเป็นที่ชุมนุมของพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์

พระธาตุเชิงชุม เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงสี่เหลี่ยม สูง 24 เมตรเศษ ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม ส่วนบนเป็นทรงบัวเหลี่ยม ไม่มีลวดลายประดับ ที่ฐานเจดีย์ มีซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ซุ้มยอดประตูมีลักษณะเป็นยอดปราสาท ข้างในทึบสร้างด้วยศิลาแลง และหินทรายแดง ส่วนที่เห็นอยู่ปัจจุบันเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ ครอบองค์เดิมไว้ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างสมัยใด ประตูด้านทิศตะวันออกที่เชื่อมต่อกับพระวิหาร จะมีซุ้มเป็นคูหาลึกเข้าไป ด้านขวามือมีศิลาแลง จารึกอักษรขอมติดอยู่ ตัวอักษรลบเลือนมาก อ่านไม่ออก
พระอุโบสถหลังเดิมหรือสิมเก่า มีลักษณะเป็นสิมแบบโถง โครงสร้างเป็นไม้ก่ออิฐถือปูน หลังคาเป็นกระเบื้องไม้แบบเดิม หันหน้าไปทางทิศใต้ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2370 ครั้งพระธานีเป็นเจ้าเมือง ภายในมีจิตรกรรมเป็นภาพเถาไม้เลื้อยเป็นแนวรอบอาคาร หน้าบันมีจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปเทพบุตรและเทพธิดา ดาวประจำยาม มังกรและเถาไม้เลื้อย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์ ทั้งที่สร้างด้วยไม้และเป็นปูนปั้น
ภายในพระวิหารประดิษยฐาน หลวงพ่อพระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนคร
งานมนัสการพระธาตุประจำปี เริ่มตั้งแต่วันขึ้น 11 ค่ำ ถึง 15 ค่ำ เดือนยี่ ในวันเริ่มงานจะมีการจุดพลุ ย่ำฆ้องกลองเป็นที่เอิกเริก วันสุดท้ายของงานตอนเช้า จะมีการตักบาตรพระสงฆ์รอบองค์พระธาตุ   ตอนบ่ายจะมีการสรงน้ำองค์พระธาตุ กลางคืนมีการประกวดขบวนแห่โคมไฟ   จากนั้นก็มีการจุดบั้งไฟและไฟพะเนียง
ขอต้อนรับเข้าสู่เมืองสกลทวาปี ศรีหนองหาน 



                                                                                             ด้วยรักและศรัทธา

ตำนานท้าวผาแดง นางไอ่


 ตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา มูลเหตุที่ทำให้เกิด หนองหาน ต้นลำนำปาว มีเรื่องราวเกี่ยวพันกับวรรณคดีพื้นบ้านอีสานเรื่อง ผาแดง นางไอ่ ตำนานรักอันลึกซึ้งของ หนึ่งหญิง - สองชาย เมื่อฝ่ายหนึ่งพลาดรักและถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ก็กลายเป็นสงครามทำให้บ้านเมืองถล่มทลาย กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ และวรรณคดีอีสานเรื่องนี้ก็เป็นปฐมเหตุ บุญบั้งไฟ วัฒนธรรมประเพณีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นชื่อลือชาของชาวอีสานมาแต่บรรพกาล โดยตำนวนรักเรื่องนี้มีอยู่ว่า พระยาขอมผู้ครองเมืองเอกชะธีตา มีธิดานางหนึ่งชื่อ นางไอ่ซึ่งจัดเป็นหญิงที่มีรูปร่างงดงามในวัยแตกเนื้อสาว ซึ่งจะหาสาวงามนางใดในสามไตรภพมาเทียบมิได้ ความงดงามของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแดนไกล เจ้าชายหลายหัวเมืองต่างหมายปองอยากได้มาเป็นคู่ครองกันทุกคน  ท้าวผาแดง เจ้าชายเมืองผาพง ทราบข่าวเล่าลือถึงสิริโฉมอันงดงามของ นางไอ่ ก็เกิดความหลงไหลใฝ่ฝันในตัวนางเป็นอย่างมาก จึงวางแผนทอดสัมพันธ์ไมตรีด้วยการส่งแก้วแหวนเงินทองและผ้าแพรพรรณเนื้อดีไปฝาก นางไอ่ เมื่อมหาดเล็กนำเอาสิ่งของไปมอบให้ แถมยังได้บอก นางไอ่ ถึงความรูปหล่อ องอาจ ผึ่งผายของ ท้าวผาแดง ให้ฟัง เท่านั้นเองนางก็เกิดความสนใจและฝากเครื่องบรรณาการไปฝาก ท้าวผาแดง เป็นการตอบแทนด้วย 
    ฝ่าย ท้าวพังคี เจ้าชายเมืองบาดาล ก็อยากมาร่วมงานกับมนุษย์ เพราะต้องการยลโฉม นางไอ่ เป็นกำลัง และคิดและวางแผนในใจว่า บุญบั้งไฟครั้งนี้ข้าต้องไปให้ได้ แม้พ่อข้าจะทัดทานอย่างไรก็ตาม จากนั้นก็พาไพร่พลส่วนหนึ่งออกเดินทางขึ้นมาเมืองมนุษย์ ก่อนโผล่ขึ้นเมืองเอกชะธีตาของพระยาขอม ผู้เป็นใหญ่ ท้าวพังคี ก็พาบริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์บ้าง สัตว์บ้าง ส่วนท้าวพังคี ได้แปลงร่างเป็น กระรอกเผือก ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า กะฮอกด่อน ได้ออกติดตามลอบชมโฉมนางไอ่ ในขบวนแห่ของ พระยาขอม เจ้าเมือง ไปอย่างหลงไหลในความงามของนาง การจุดบั้งไฟแข่งขันเป็นไปอย่างสนุกสนาน ทุกคนใจจดจ่ออยากรู้ว่า บั้งไฟเจ้าชายเมืองไหนชนะและได้ นางไอ่ ไปครอง ซึ่งการจุดบั้งไฟครั้งนั้น ท้าวผาแดง และ พระยาขอม มีเดิมพันกันว่า ถ้าบั้งไฟท้าวผาแดง ชนะบั้งไฟ พระยาขอม แล้ว ก็จะยก นางไอ่ ธิดาสาวให้ไปเป็นคู่ครอง ผลปรากฎว่า บั้งไฟของพระยาขอมไม่ขึ้นจากห้าง ซึ่งคนอีสานเรียกว่าซุส่วนของ ท้าวผาแดง แตก(ระเบิด) คาห้าง คงมีแต่บั้งไฟของ พระยาฟ้าแดดเมืองฟ้าแดดสูงยาง และของ พระยาเซียงเหียนแห่งเมืองเซียงเหียนเท่านั้นที่ขึ้นสู่ท้องฟ้านานถึง 3 วัน 3 คืน จึงตกลงมา แต่พระยาทั้งสองนั้นเป็นอาของ นางไอ่เป็นอันว่าเธอจึงไม่ตกเป็นคู่ครองของใคร       ก่อนที่มหาดเล็กจะเดินทางกลับ นางไอ่ยังได้ฝากคำเชื้อเชิญท้าวผาแดงซึ่งตั้งทัพรออยู่นอกเมืองให้เข้าพบนางที่วังพระยาขอม แน่นอนละ จะเป็นด้วยบุพเพสันนิวาส บวกกับเจ้า กามเทพได้แผลงศรรักไปปักอกคนทั้งสองเข้า ก็ทำให้คนคู่นี้รักกันอย่างรุนแรง และได้เสียกัน สุดจะยั้งใจได้ อะไรจะปานนั้น  ฝ่าย ท้าวพังคี ลูกชาย พญาศรีสุทโธ พญานาคผู้ครองเมืองบาดาล ก็เป็นอีกตนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันอยากยลสิริโฉมของ นางไอ่ ทั้งนี้เพราะเป็นเวรกรรมในอดีตชาตินั้นบันดาลให้มีอันเป็นไป โดยเรื่องมีอยู่ว่า ท้าวพังคี เมื่อชาติก่อน เป็นชายหนุ่มที่ยากจนและเป็นคนใบ้ เดินทางเที่ยวขอทานไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ จนมาถึงหน้าบ้านเศรษฐีคนหนึ่ง และได้เข้าไปอาศัย ช่วยทำงานให้บ้านของเศรษฐีโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทำให้เศรษฐีมีความรักใคร่เอ็นดูอย่างมาก ถึงกับยกลูกสาวสวยนางหนึ่งให้เป็นภรรยา ลูกสาวของเศรษฐีนางนี้คือ นางไอ่ ในชาติปางก่อน   ท้าวพังคีในชาตินั้นเป็นคนไม่เอาไหน แทนที่จะรักภรรยาลูกเศรษฐีกลับไม่สนใจใยดี ไม่ยอมหลับนอนด้วยกันฉันสามี ภรรยาแม้แต่ครั้งเดียว ภรรยาก็ไม่ปริปากบอกใครทราบ ปรนนิบัติสามีเยี่ยงภรรยาที่ดี เสมอมา

       อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวพังคี ก็คิดถึงญาติพี่น้องที่บ้านเกิดของตน จึงพาภรรยากลับไปเยี่ยมบ้าน เศรษฐีผู้เป็นบิดาได้จัดแจงให้ลูกสาวหาบเสบียงอาหารตามผัวไป ท้าวพังคี หนุ่มใบ้ก็ไม่เคยช่วยเหลืองนางด้วยการหาบแทนเลย นางทนลำบากหาบของหนักข้ามห้วย และป่าเขา จนกระทั่งเสบียงอาหารหมดลงกลางทาง ท้าวพังคี เห็นมะเดื่อสุกเต็มต้น จึงขึ้นไปเก็บกินแทนข้าว ฝ่าย นางไอ่ ชะเง้อคอแหงนหน้าขึ้นมอง ท้าวพังคี ผัวรักให้โยนลูกมะเดื่อลงไปให้กินบ้าง แต่ ท้าวพังคี กลับไม่ใส่ใจเนื่องจากเป็นคนใจแคบ กินอิ่มคนเดียวแล้วก็ลงจากต้นมะเดื่อเดินหนีไป นางจึงขึ้นเก็บกินเอง เมื่อนางกินอิ่มแล้ว ก็ลงมาแต่ไม่พบ ท้าวพังคี จึงออกเดินตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ นางมีความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง พอเดินทางถึงต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำ นางจึงลงอาบน้ำและดื่มกินจนมีความสดชื่นขึ้นมา จึงตัดสินใจแล้วอธิษฐานว่า
    
ชาติหน้าขอให้สามีตายอยู่บนกิ่งไม้ และอย่างได้เป็นสามี ภรรยากันอีกเลย ด้วยแรงอธิษฐานของนาง ชาติต่อมา เจ้าใบ้ สามีจึงเกิดมาเป็น ท้าวพังคี ส่วนเธอเองได้เกิดมาเป็น นางไอ่ และเวรกรรมจะตามสนองคนทั้งสองอย่างไร เอ้า ตามมา  ฝ่าย พระยาขอม เห็นว่า นางไอ่ ธิดาสาวผู้มีเรือนร่าง และใบหน้าอันสิริโฉม หาหญิงใดในหล้ามาเปรียบเทียบมิได้ ปัจจุบันเธอก็โตเต็มสาวแล้ว จึงมีใบฎีกาแจ้งไปยังหัวเมืองน้อยใหญ่ ให้ทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะธีตา หรือเมืองหนองหาน ต้นลำน้ำปาวในปัจจุบัน เพื่อจุดถวายพญาแถนผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้าบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ประการหนึ่ง ส่วนอีกประการหนึ่ง หากบั้งไฟเมืองไหนขึ้นสูงกว่าเพื่อน ก็จะได้ นางไอ่ ธิดาสาวผู้เลอโฉมไปเป็นคู่ครอง พระยาขอม ได้กำหนดวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนหก เป็นวันงาน ทำให้เจ้าชายเมืองต่าง ๆ ทำบั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน มาจุดแข่งขันกันอย่างมากมาย บุญบั้งไฟครั้งนั้นนับเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร พอถึงวันงานผู้คนก็หลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศ ทั้งยังมีการแข่งขันตีกลอง ซึ่งคนอีสานเรียกว่า เส็งกอง กันอย่างครึกครื้น หนุ่ม - สาวต่าง จ่ายผญา เกี้ยวพาราศรีกันอย่างสนุกสนาน บุญบั้งไฟ ในครั้งนี้ แม้ ท้าวผาแดง จะไม่ได้รับฎีกาบอกบุญเชิญให้นำเอาบั้งไฟไปร่วมงานด้วยก็ตาม แต่ พระยาขอม ว่าที่พ่อตา ก็ให้การต้อนรับ ท้าวผาแดง เป็นอย่างดี 

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สื่อการเรียนการสอน

   มีการกล่าวถึงความหมายของ  สื่อการสอนประเภท  วัสดุ  ว่าเป็น  สิ่งหรือวัสดุสิ้นเปลือง  ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร

     ตามความคิดของกระผมนั้น สื่อการสอนประเภท วัสดุ ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่สิ้นเปลือง เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยในเรื่องการเรียนการสอน  การเรียนรู้ของผู้เรียนให้เข้าใจและง่ายยิ่งขึ้น และยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพของตัวผู้เรียนให้สูงขึ้น ถึงแม้ว่าสื่อการสอนประเภทนี้มีราคาแพง แต่ก็จำเป็นอยากมากต่อผู้เรียนในทุกระดับ



  กรวยประสบการณ์ของ Edgar Dale  แบ่งสื่อการสอนโดยยึดหลักอะไร / สรุปสาระสำคัญ
       เอดการ์ เดล (Edgar Dale) ได้จัดแบ่งสื่อการสอนเพื่อเป็นแนวทางในการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างสื่อโสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ ในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงขั้นตอนของประสบการณ์การเรียนการสอน และการใช้สื่อแต่ละประเภทในกระบวนการเรียนการสอนด้วย โดยพัฒนาความคิดของ Bruner ซึ่งเป็นนักจิตวิทยา นำมาสร้างเป็น กรวยประสบการณ์” (Cone of Experience) โดยแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้ 
1. ประสบการณ์ตรง โดยการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากของจริง เช่น การจับต้อง และการเห็น เป็นต้น
 2. ประสบการณ์รอง เป็นการเรียนโดยให้ผู้เรียนเรียนจากสิ่งที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด ซึ่งอาจเป็นการจำลองก็ได้
3. ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง เป็นการแสดงบทบาทสมมติหรือการแสดงละคร เนื่องจากข้อจำกัดด้วย           ยุคสมัยเวลา และสถานที่ เช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ หรือเรื่องราวที่เป็นนามธรรม เป็นต้น
 4. การสาธิต เป็นการแสดงหรือการทำเพื่อประกอบคำอธิบายเพื่อให้เห็นลำดับขั้นตอนของการกระทำนั้น
 5. การศึกษานอกสถานที่ เป็นการเรียนการสอนจากประสบการณ์ต่าง ๆ ภายนอกสถานที่เรียน อาจเป็นการเยี่ยมชมสถานที่ การสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ เป็นต้น
 6. นิทรรศการ เป็นการจัดแสดงสิ่งของต่าง ๆ เพื่อให้สาระประโยชน์แก่ผู้ชม โดยการนำประสบการณ์หลายอย่างผสมผสานกันมากที่สุด
 7. โทรทัศน์ โดยใช้ทั้งโทรทัศน์การศึกษาและโทรทัศน์การสอนเพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้เรียนหรือผู้ชมที่อยู่ในห้องเรียนหรืออยู่ทางบ้าน
8.  ภาพยนตร์ เป็นภาพที่บันทึกเรื่องราวลงบนฟิล์มเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ทั้งภาพและเสียงโดยใช้ประสาทตาและหู

9.  การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพนิ่ง อาจเป็นทั้งในรูปของแผ่นเสียง เทปบันทึกเสียง วิทยุ รูปภาพ สไลด์ ข้อมูลที่อยู่ในขั้นนี้จะให้ประสบการณ์แก่ผู้เรียนที่ถึงแม้จะอ่านหนังสือไม่ออกแต่ก็จะสามารถเข้าใจเนื้อหาได้
 10. ทัศนสัญลักษณ์ เช่น แผนที่ แผนภูมิ หรือเครื่องหมายต่าง ๆ ที่เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งของต่าง ๆ
11. วจนสัญลักษณ์ ได้แก่ตัวหนังสือในภาษาเขียน และเสียงพูดของคนในภาษาพูด



แผนภาพ กรวยประสบการณ์
         
        การใช้กรวยประสบการณ์ของเดล จะเริ่มต้นด้วยการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอยู่ในเหตการณ์หรือการกระทำจริงเพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงเกิดขึ้นก่อน  แล้วจึงเรียนรู้โดยการเฝ้าสังเกตในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ซึ่งเป็นขั้นต่อไปของการได้รับประสบการณ์รอง ต่อจากนั้นจึงเป็นการเรียนการสอนด้วยการรับประสบการณ์โดยผ่านสื่อต่าง  ๆ และท้ายที่สุดเป็นการให้ผู้เรียนเรียนจากสัญลักษณ์ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น